การติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟและสร้างพลังงานสะอาดให้บ้านหรือธุรกิจของคุณ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ราคาหรือขนาดของแผงเท่านั้น แต่ “คุณภาพ” ของแผงโซล่าเซลล์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและอายุการใช้งานในระยะยาว หนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพที่นิยมใช้กันในวงการ คือ การจัดอันดับแผงโซล่าเซลล์ออกเป็น Tier 1, 2 และ 3 วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า Tier เหล่านี้คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร และมีผลต่อการเลือกซื้ออย่างไรบ้าง
ระบบ Tier 1, Tier 2 และ Tier 3 ไม่ได้จัดอันดับตัวแผงโซล่าเซลล์โดยตรง แต่เป็นการจัดอันดับ บริษัทผู้ผลิต แผงโซล่าเซลล์ ตามมาตรฐานของ Bloomberg New Energy Finance (BNEF) ซึ่งใช้เกณฑ์ด้านความน่าเชื่อถือทางการเงิน ประวัติการผลิต การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และความสามารถในการควบคุมกระบวนการผลิต
Tier 1 คือกลุ่มบริษัทผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์ที่ได้รับการจัดอันดับว่าน่าเชื่อถือที่สุดในตลาดโลก บริษัทเหล่านี้มีคุณสมบัติดังนี้:
ตัวอย่างแบรนด์ Tier 1 ได้แก่ Jinko Solar, Trina Solar, LONGi Solar, Canadian Solar, JA Solar
ข้อดีของ Tier 1:
แผงโซล่าเซลล์จากผู้ผลิต Tier 1 มักมีประสิทธิภาพสูง ความทนทานดี อายุการใช้งานยาวนานถึง 25–30 ปี และให้การรับประกันที่น่าเชื่อถือ เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนระยะยาวและต้องการความมั่นใจในคุณภาพ
Tier 2 คือบริษัทผู้ผลิตที่มีคุณภาพรองลงมา โดยมีลักษณะดังนี้:
ข้อดีของ Tier 2:
แผงโซล่าเซลล์ Tier 2 มีราคาถูกกว่า Tier 1 พอสมควร แต่ยังให้ประสิทธิภาพการใช้งานที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่อยากได้แผงที่ยังมีมาตรฐานระดับกลางถึงดี
Tier 3 คือกลุ่มบริษัทผู้ผลิตขนาดเล็กมาก หรือบริษัทใหม่ที่ยังไม่มีฐานการผลิตเป็นของตัวเอง โดยมีลักษณะดังนี้:
ข้อควรพิจารณาของ Tier 3:
แม้ว่าราคาจะถูกที่สุด แต่แผงจาก Tier 3 มีความเสี่ยงสูงเรื่องประสิทธิภาพ ความคงทน และการรับประกันในระยะยาว จึงไม่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวหรืองานที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
หลายคนเชื่อว่าแผงโซล่าเซลล์ Tier 1 คือของที่ดีที่สุดในตลาด แต่จริงๆ แล้ว คำว่า Tier 1 เป็นการจัดอันดับบริษัท ไม่ได้การันตีว่า “แผงโซล่าเซลล์ทุกแผง” ของบริษัทนั้นจะดีที่สุดทุกตัว เพราะแต่ละบริษัท Tier 1 ก็มีการผลิตแผงในหลายรุ่น หลายเกรด เช่น รุ่นราคาประหยัด และรุ่นเกรดพรีเมียม
ดังนั้น นอกจากดู Tier แล้ว ควรตรวจสอบสเปกแผง เช่น ประสิทธิภาพ (%Efficiency), ค่าความเสื่อมประสิทธิภาพ (Degradation Rate), การรับประกันผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานต่างๆ อย่าง IEC, TUV ด้วย
นอกจากการพิจารณาเรื่อง Tier แล้ว หากติดตั้งโซล่าเซลล์ในประเทศไทย ควรเลือกแผงที่ได้รับ “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” หรือ “มอก.” (TIS) ด้วย
ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแผงที่ติดตั้งเหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองไทย เช่น ความร้อนสูง ฝนตกหนัก หรือแสงแดดแรงตลอดปี
หากต้องการติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อใช้งานระยะยาวอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ การเลือกแผงจากแบรนด์ Tier 1 พร้อมมีมาตรฐาน มอก. จะดีที่สุด แม้ราคาอาจสูงกว่าระบบที่ใช้แผงโซล่าเซลล์ Tier 2 หรือ Tier 3 แต่ในระยะยาวจะประหยัดค่าไฟได้มากกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องการซ่อมบำรุงหรือเปลี่ยนแผงก่อนกำหนด
สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด อาจเลือกแผงโซล่าเซลล์ Tier 2 ที่มีการรับประกันชัดเจน และผ่านมาตรฐานสากลเช่นกัน
ขณะที่แผง Tier 3 แม้ราคาถูก แต่หากเป็นการลงทุนระยะยาว เช่น สำหรับบ้านพักอาศัย หรือโรงงาน ควรหลีกเลี่ยง เพราะความเสี่ยงด้านคุณภาพและความเสถียรจะสูงกว่ามาก